อุปกรณ์ตกปลา

อุปกรณ์ตกปลา คุณค่าแห่งศาสตร์และศิลป์ของคนที่ชื่นชอบกิจกรรมตกปลา

กิจกรรมตกปลาในวันหยุดพักผ่อน หรือมีอีกหลาย ๆ คนที่ตกปลากันจนเรียกได้ว่าเป็นมืออาชีพ หรือ แม้กระทั่งยึดเป็นอาชีพในการหาเลี้ยงครอบครัว แต่รู้หรือไม่ว่าการตกปลา ถือเป็นศิลปะศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งคนที่ชื่นชอบ และ เรียนรู้อย่างจริงจังเท่านั้น จึงจะเข้าใจ และ โดยส่วนใหญ่แล้ว ใครที่มาสัมผัสกับกีฬาชนิดนี้ ก็มักจะหลงรักกิจกรรมนี้กันแทบจะทั้งนั้น เพราะทำให้ผ่อนคลาย ยิ่งถ้าหากใครที่อยากจะปลีกตัวออกจากสังคมอันวุ่นวาย ก็ถือว่าเลือกกิจกรรมได้ถูกทาง การเรียนรู้ และศึกษาถึงวิธีการในการตกปลานั้น มีทั้งเทคนิค และ วิธีการที่สามารถเรียนรู้กันได้ชนิดที่เรียกว่า เรียนกันไม่รู้จบเลยทีเดียว ที่สำคัญการมี อุปกรณ์ตกปลา คุณภาพเป็นเหมือนอาวุธข้างกาย ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่นักตกปลาควรเลือกสรรอย่างมืออาชีพ เพื่อเพิ่มอรรถรสในกิจกรรมการตกปลาได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ชุดคันเบ็ดตกปลา รอก กระชัง หรือ เหยื่อตกปลา เป็นต้น ซึ่งคุณค่าแห่งศาสตร์และศิลป์นี้ อยู่ที่ความสนุกกับการได้ทดลองใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ นั่นเอง ว่าจะสามารถได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หรือไม่

4 วิธีการเลือกอุปกรณ์ตกปลาแบบมืออาชีพ

1. งบประมาณและราคา เนื่องจาก อุปกรณ์ตกปลา มีหลากหลายรูปแบบ และ มีหลายระดับราคา สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด ก็สามารถเลือกอุปกรณ์ตกปลาราคาถูก ในระดับราคาที่เหมาะสม ไม่แพงมากจนเกินไป แต่เน้นไปที่การเลือกสรรเหยื่อตกปลาแทน โดยวัสดุที่นำมาใช้นั้น จะมีคุณภาพต่างกัน จึงเป็นเป็นสาเหตุให้มีราคาที่แตกต่างกันตามไปด้วย

2. เลือกขนาด และ น้ำหนักของคันเบ็ดให้ลงตัว กับชนิดของปลาที่เราต้องการจะไปตก ในส่วนของคันเบ็ดที่นักตกปลารู้จักกัน คือ คันเบ็ดเบท หรือ casting rod และ คันเบ็ดสปิน หรือ spinning rod ซึ่งแบ่งการใช้งานตามขนาด และน้ำหนัก เพื่อให้เกิดความสะดวก และมีแรงเหวี่ยงตามต้องการอย่างลงตัว

3. การเลือกอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ควรเลือกตามความจำเป็น อย่างเช่น รอก คีม กรรไกรตัดเบ็ด เหยื่อล่อปลา กล่องสำหรับใส่อุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อความสะดวกในการเดินทาง การหยิบจับใช้สอยอุปกรณ์ต่าง ๆ 

4. ก่อนตัดสินใจเลือกซื้ออุปกรณ์ตกปลา ควรศึกษารายละเอียดการใช้งานเพื่อความมั่นใจ หรือการอ่านรีวิวจากผู้ที่เคยใช้งานมาก่อน ก็จะสามารถทำให้เราเลือกได้อย่างถูกต้อง และ เหมาะสม

ความพิถีพิถันในการเลือก อุปกรณ์ตกปลา มาตรฐาน เพิ่มอรรถรสได้อย่างไรบ้าง

– เพิ่มความมั่นใจในการออกไปตกปลานอกบ้านมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นมือใหม่ ซึ่งกำลังให้ความสนใจกิจกรรมการตกปลาในเวลาว่าง

– สามารถตกปลาได้ทั้งวันไม่รู้เบื่อ เพราะมีอุปกรณ์ตกปลาอย่างครบครันจะหยิบใช้ หรือเก็บเข้าที่ ก็มีความสะดวกสบาย 

– เลือกสถานที่ได้หลากหลาย ทั้งบ่อตกปลา แม่น้ำ หรือเปลี่ยนบรรยากาศล่องเรื่อออกทะเล เพื่ออรรถรสได้หลายรูปแบบเท่าที่ต้องการ

– ได้พบปะสังคมใหม่ ๆ ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ซึ่งอาจจะมีความชอบที่เหมือนกัน แล้วยังจะได้แลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องการตกปลาเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะแต่ละคนจะมีเทคนิควิธี ที่แตกต่างกันจึงสามารถเอามาแชร์กันได้

เลือกไปตกปลาที่ไหนดี?

1. การตกปลาบ่อ ซึ่งจะเป็นปลาที่เลี้ยงเอาไว้ เพื่อเปิดให้มีกิจกรรมสำหรับนักตกปลาได้มาพบปะกัน ซึ่งในบ่อปลามักจะมีอุปกรณ์ตกปลาราคาถูกเอาไว้บริการอย่างครบครัน เลือกสรรได้ตามต้องการ มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา ถือว่ามีความสะดวก สำหรับคนที่ต้องการตกปลา แต่ไม่ถนัดในเรื่องการเลือกสถานที่ และอุปกรณ์ จริง ๆ แล้วการตกปลาที่เลี้ยงในบ่อนั้น เหมาะสำหรับมือสมัครเล่น ที่ต้องการฝึกปรือฝีมือให้ดีขึ้นก่อน จากนั้นจึงจะเริ่มเก็บประสบการณ์จากการแข่งขัน และ การตกปลาแบบทริปธรรมชาติต่อไป

2. การตกปลาแบบธรรมชาติ คือ การออกไปตกปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่อนุญาตให้นักตกปลาเข้าไปทำกิจกรรมได้ โดยนักตกปลาจะต้องเตรียมตัว และ เตรียมอุปกรณ์ตกปลาไปเอง ความยากของการตกปลาแบบนี้คือ ต้องมีความชำนาญทั้งในเรื่องการตกปลา และสภาพธรรมชาติของแต่ละที่นั้น ๆ ว่ามีปลาชนิดใดอาศัยอยู่ หรือ ชอบเหยื่อแบบใด และ อาศัยอยู่ที่ระดับความลึกเท่าไหร่ ออกหาอาหารเวลาใด ทริปตกปลาธรรมชาติ จึงเป็นทริปที่ท้าทายนักตกปลามืออาชีพเป็นอย่างมาก 

ไม่ว่าจะเป็นการตกปลาแบบไหน การเลือกอุปกรณ์ตกปลาให้เหมาะสม ก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และต้องใช้ประสบการณ์ในการเลือกเป็นอย่างมาก หากคุณต้องการเป็น นักตกปลามืออาชีพ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับการหาข้อมูลทุก ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กันด้วย จึงจะทำให้คุณก้าวสู่ความเป็นที่สุดของนักตกปลาได้

พบกับบทความ เนื้อหาสาระดีๆ เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ และ เทคโนโลยี รวมถึงอัพเดทเทรนด์ สินค้าใหม่ๆ กับเราได้ทุกสัปดาห์ ได้ที่นี่ อุปกรณ์ตกปลา

มหาสงครามล้างจักรวาล

ตำนานครั้งยิ่งใหญ่ที่จะถูกจดจำตลอดกาล…กับภารกิจยับยั้งมหาสงครามล้างจักรวาล

การรวมตัวกันของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่นั้น ถือว่าเป็นไปได้ยากมากสำหรับการทำหนังหนึ่งเรื่องด้วยเวลาที่มีจำกัด เนื่องจากต้องมีการวางแผนเพื่อดำเนินเรื่องให้น่าสนใจ ไม่ยืดเยื้อน่าเบื่อ แต่ต้องชนะใจคนดูหนังได้ตลอดทั้งเรื่อง โดยบทบาทของตัวละครทุกตัวก็ควรมีความสำคัญได้ไม่แพ้กันอีกด้วย แต่ในหนัง มหาสงครามล้างจักรวาล หรือ Avengers Infinity War ของค่ายหนังมาร์เวลคอมิกส์ ได้รวมทีมซูเปอร์ฮีโร่ได้แบบลงตัว โดยมีตัวร้าย ซึ่งถ้าหากได้หลุดมาจากการ์ตูนของมาร์เวลคอมิกส์นั่นเองในนาม ธานอส (Thanos) เป็นผู้ทำให้เกิดเรื่องราวและสร้างความวุ่นวายไปทั่วจักรวาล ด้วยความทะนงตัวคิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีพลังเหนือทุกคนในจักรวาลนี้อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะกระหายสงครามอย่างมาก และด้วยของวิเศษที่มีอยู่ในมืออย่างอัญมณีอินฟินิตี้ 

ดังนั้นจึงทำให้เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ตำนานของมาร์เวลต้องมาหยุดการกระทำของธานอสให้ได้  จนเกิดเป็น อินฟินิตี้ วอร์ ขึ้น โดยธานอสได้ครอบครองอัญมณีสำคัญทั้ง 6 เม็ด ความน่าติดตามจึงอยู่ตรงที่จะสามารถหยุดการกระทำของธานอสได้อย่างไร จะต้องรับมือด้วยวิธีใด แล้วมีเหตุผลอะไรที่ธานอสจึงต้องการล้างจักรวาลนี้ลง

ทำความรู้จักกับอัญมณีอินฟินิตี้ทั้ง 6 เม็ด พลังสู่อำนาจสู่… มหาสงครามล้างจักรวาล

1. Mind Stone หรือหินสีเหลืองอร่าม ซึ่งเป็น อัญมณีที่ผู้ครอบครองสามารถควบคุมจิตของผู้อื่นได้อย่างที่ต้องการ 

2. Reality Stone หรือหินสีแดง ซึ่งธานอสใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องราวให้เป็นไปอย่างที่ตนต้องการ

3. Power Stone หรือหินสีม่วงที่สามารถเพิ่มพลังให้กับผู้ครองครองได้อย่างที่ไม่อาจจะคาดคะเนได้เลยทีเดียว พลังมหาศาลขนาดที่ว่าสามารถทำลายดาวได้ทั้งดวง

4. Space Stone หรือหินสีฟ้าและเรืองแสง ที่จะทำให้ไปในสถานที่ต่าง ๆ ได้เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการหายตัวได้นั่นเอง

5. Time Stone หรือหินสีเขียวที่มาพร้อมพลังอำนาจในการควบคุมเวลาได้ทั้งอดีตและอนาคต อยากให้เวลาเดินเร็ว หรือช้า หรือย้อนเพื่อไปเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างก็สั่งได้ดังใจต้องการ

6. Soul Stone หรือหินสีส้มที่ไม่ได้มีความหวานเหมือนส้มอย่างแน่นอน เพราะถือเป็นอัญมณีที่ควบคุมพลังได้ยากที่สุด ซึ่งมาพร้อมกับถุงมือของธานอส สามารถสั่งเป็นสั่งตายได้แล้วยังสามารถขโมยพลังผู้อื่นได้อีกด้วย

ทำไม…ต้องดูความสนุกจากหนัง อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล

– ร่วมลุ้นไปกับการใช้เหตุผลของแต่ละฝ่าย ระหว่าง ธานอสและเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ เพื่อให้โลกและจักรวาลได้เกิดการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อต้องกลายมาเป็นผู้มีอำนาจแล้วควรจะต้องตัดสินใจแบบไหน และแท้จริงแล้ว ควรจะเลือกใช้วิธีการเช่นไรถึงเรียกว่า ดีที่สุด

– เพราะสงครามครั้งนี้ ทำให้ฮีโร่เพียงคนเดียวยากจะรับมือได้ไหว จึงต้องอาศัยพลังของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่อย่าง อเวนเจอร์สและทีมเวอร์คผนึกพลังกันจึงจะต่อสู้กับพลังมหาศาลของธานอสได้

– เนรมิตฉากแบบอลังการให้เหมือนได้ท่องจักวาลไปรบด้วยกับพวกอเวนเจอร์ส ลุ้นได้ตลอดทั้งเรื่องจนแทบหยุดหายใจ

– ตอนจบของเรื่องที่ทุกคนคาดไม่ถึง หรือเรียกได้ว่าเหนือการคาดเดาจากที่เคยดูหนังเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่มาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ทำให้หนังภาคนี้น่าติดตามว่าในภาคต่อไปนั้นจะดำเนินเรื่องไปทิศทางใด

ก่อนดู…อเวนเจอร์สภาคนี้ ต้องย้อนดูวีรกรรมซูเปอร์ฮีโร่แต่ละเรื่องก่อนดีไหม

หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักและคุ้นเคยกับตัวซูเปอร์ฮีโร่ได้หมด การได้ย้อนไปดูวีรกรรม และความสามารถของพวกเขาถือว่าเป็นการทำความรู้จักที่ดีทีเดียว เพื่อการรับชมภาพยนตร์ Avengers Infinity War  มหาสงครามล้างจักรวาล ได้อย่างเข้าใจแบบไร้ข้อสงสัยใด ๆ ว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น สามารถเข้าใจหลักการต่อสู้บู๊ล้างผลาญ พลังที่ของฮีโร่เกินจะจินตนาการของแต่ละฮีโร่ จึงมีอรรถรสในการดูมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้รับความสนุกสนาน ผ่อนคลายไปกับหนังแต่ละเรื่อง และได้ใช้เวลาว่างในช่วงชีวิตแบบ  “New Normal” ได้แบบไม่รู้เบื่ออีกด้วย มหาสงครามล้างจักรวาล

หูฟัง

จะรู้ได้อย่างไรว่าหูฟังแบบไหนที่เหมาะกับเรา รู้ก่อนเลือกเพื่อการใช้งานที่ถูกใจ

นอกจากโทรศัพท์มือถือที่เรามักจะพกติดตัวกันแล้ว หูฟัง ก็ถือเป็นอีกหนึ่งของใช้ส่วนตัวที่เรามักพกติดตัวไว้ด้วยเช่นกัน เพราะสามารถหยิบขึ้นมาเสียบฟังเพลง ดูหนัง หรือดูวิดีโอต่าง ๆ ได้ อีกทั้งการใส่เอาไว้ยังช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ ช่วยให้เป็นส่วนตัวได้มากขึ้น วันนี้จึงจะพาไปดูประเภทต่าง ๆ กันว่ามีแบบไหนบ้าง แต่ละแบบเป็นอย่างไร และควรเลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งานของเราดี

ประเภทของหูฟัง และการใช้งาน ต่างกันอย่างไร เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

· เอียร์บัด (Earbuds) เป็นประเภทที่มีการใช้งานกันมานานที่สุด โดยใช้กันมาตั้งแต่ปี 1980 และยังนิยมใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นแบบสอดหูที่จะอยู่ทางด้านนอกรูหู ให้เสียงที่โปร่งและกว้าง โดยข้อดีของประเภทนี้คือ มีราคาไม่แพง และช่วยให้ได้ยินเสียงภายนอกได้ชัด ทำให้เราได้ยินเสียงภายนอกเวลาใช้งาน เช่น เวลาเดินอยู่ข้างถนน ทำให้ได้ยินเสียงแตรรถและระวังตัวได้ แต่ข้อเสียคือ ค่อนข้างแข็ง เมื่อใส่นาน ๆ จะทำให้เจ็บหูได้

· อินเอียร์ (In-Ear) เป็นแบบสอดเข้าไปในรูหูโดยมีจุกยางครอบอยู่ ช่วยให้ไม่เจ็บหูและช่วยป้องกันเสียงภายนอกรบกวนได้ระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับไม่ได้ยินเลย แต่ป้องกันได้ดีกว่าแบบเอียร์บัด เป็นแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้ เพราะช่วยให้มีสมาธิและการดูวิดีโอหรือฟังเพลงได้ดี ไม่ทำให้เจ็บหู

· แบบคาดหัว (Headphones) เป็นแบบใส่คาดหัว แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ แบบแนบหูและแบบครอบหู นิยมใช้ใส่เล่นคอมพิวเตอร์ เล่นเกม ฟังเพลง ฯลฯ

· แบบเกี่ยวหู (Ear Clips) มีลักษณะคล้ายกับแบบครอบหูแต่มีขนาดเล็กกว่า มาพร้อมกับสายเกี่ยวหูที่ช่วยให้สวมใส่ได้แน่นมากขึ้น ไม่หลุดง่าย อีกทั้งยังไม่ทำให้เจ็บหูด้วย 

· หูฟังบลูทูธไร้สาย (Bluetooth Wireless Headphones) เป็นอีกหนึ่งประเภทที่กำลังมาแรงในปัจจุบันนี้เพราะเป็นแบบไร้สายที่ไม่มีสายมาพันกันให้กวนใจ ทำงานด้วยระบบบลูทูธ ใช้งานง่าย พกพาสะดวก แต่มีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าแบบทั่วไป สามารถชาร์จแบตเตอรี่กับแท่นชาร์จในกล่องได้

· แบบสั่นกระดูก (Bone Conduction Headphones) หลายคนอาจยังไม่ค่อยคุ้นหูกันสักเท่าไหร่เพราะออกแบบมาสำหรับการขี่จักรยานโดยเฉพาะ โดยการทำงานจะใช้ระบบการสั่นกระดูกเข้าไปเพื่อให้เกิดเสียงโดยที่ยังได้ยินเสียงภายนอกอยู่

· แบบตัดเสียงรบกวน (Noise-Cancelling Headphones) เป็นแบบที่ช่วยตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะสำหรับการใส่ทำงานเกี่ยวกับระบบเสียงโดยเฉพาะ เช่น การทำดนตรี การทำเพลง ฯลฯ

หูฟัง ใช้อย่างไรให้ไม่เป็นอันตรายต่อหู 

· ไม่ใช้งานต่อเนื่องนานเกินไป ไม่ควรใส่หูฟังติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกินไปเพราะจะส่งผลกระทบต่อหูและการได้ยินได้ ควรใส่ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อครั้ง และควรถอดออกเพื่อพักหูอย่างน้อย 5 นาที

· ไม่เปิดเสียงดังจนเกินไป ควรเปิดเสียงไม่ให้ดังเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ เพราะหากเปิดเสียงดังเกินไปจะส่งผลต่อการได้ยินในระยะยาวได้ ส่งผลให้ประสาทหูอักเสบหรือหูหนวกได้

· เลือกใช้แบบที่ได้ยินเสียงภายนอก อย่างไรก็ตามการเลือกใช้แบบที่ได้ยินเสียงภายนอกถือว่ามีความปลอดภัยต่อการใช้งานมากกว่า เพราะช่วยให้เราได้ยินเสียงภายนอกและมีสติขณะใช้งาน สามารถรับรู้ได้ว่าในขณะนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เช่น การข้ามถนน ที่หากเลือกประเภทที่ตัดเสียงภายนอกและเปิดเพลงเสียงดังจนเกินไปจะทำให้ไม่ได้ยินเสียงรถหรือเสียงภายนอก ทำให้เกิดอันตรายได้

· เลือกสินค้าที่มีคุณภาพดีและได้มาตรฐาน ควรเลือกใช้แบบที่ได้มาตรฐานเพราะให้คุณภาพเสียงที่ดีมากกว่า อีกทั้งยังมีความปลอดภัยมากกว่า โดยเฉพาะการเสียบใช้งานในขณะที่ชาร์จแบตเตอรี่ที่เราได้เห็นอันตรายตามข่าวกันอยู่บ่อย ๆ 

สำหรับใครที่จะเลือกซื้อหูฟังก็อย่าลืมเลือกซื้อให้ถูกประเภทและเหมาะสำหรับการใช้งานของตนเอง หากชอบแบบที่พกพาได้สะดวกไม่ยุ่งยากหูฟังบลูทูธก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี และควรหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอเพื่อป้องกันการเกิดแบคทีเรียและฝุ่นสะสม และควรหลีกเลี่ยงการใช้งานร่วมกับผู้อื่นด้วย

หูฟัง

เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์

ย้อนรอย 5 ซีนหนัง Fast & Furious ก่อนไปบู๊สุดมันใน เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์

ชัดเจนเลยว่า 2 ตัวละครจากจักรวาลหนัง Fast & Furious ของเขาเด็ดจริง ๆ ทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษ Luke Hobbs (The Rock-Dwayne Johnson) และอดีตทหารอังกฤษ Deckard Shaw (Jason Statham) ที่ปรากฏตัวในหนัง Fast & Furious กันมาคนละประมาณ 2 – 4 ภาค และในวันนี้ตัวละครทั้งสองนี้ก็ได้มีภาพยนตร์แยกออกมาเป็นของตนเองในชื่อ เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์ 

หนังเรื่องนี้จะพาเราไปรู้จักอดีตตัวละครสมทบทั้งสองคนนี้ให้มากยิ่งขึ้น ถึงขนาดเรียกว่ารู้จักยันพื้นเพภูมิหลังของครอบครัวกันเลยทีเดียว และแน่นอนว่าเมื่อจัดอยู่ในตระกูลหนัง Fast เรื่องนี้จึงต้องไปให้ไกลแบบสุดลิ่มทิ่มประตู 

ดังนั้นก่อนที่คุณจะไปดู เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์ ก็มาลองติวเข้มกันก่อนดีกว่าว่า ซีนเด็ดซีนโดนของ 2 ตัวละครในแฟรนไชส์ทั้ง 8 ภาคที่ผ่านมานั้น มีฉากไหนเด็ดจริงถึงขนาดดูแล้วยังติดความทรงจำแบบไม่มีลืมเลือน

1.การปรากฏตัวของ Luke Hobbs

ตัวละคร Luke Hobbs นั้นปรากฎตัวขึ้นครั้งแรกใน Fast 5 ซึ่งการปรากฏตัวของ The Rock ในภาคนี้ เสมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกกับแฟน ๆ หนังรถซิ่งเรื่องนี้ว่า หลังจากนี้ต่อไป จักรวาลของ Fast & Furious จะไม่ใช่แค่หนังนักซิ่งอีกต่อไป นับจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะกลายเป็นภาพยนต์แอคชั่นฟอร์มยักษ์

2.การปรากฏตัวแบบเต็ม ๆ ของ Deckard Shaw

ตัวละคร Deckard Shaw นั้นมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Fast & Furious 7 ซึ่งก่อนหน้านี้ในท้ายเรื่องของ Fast 6 นี้ Deckard Shaw ได้เผยโฉมออกมาเล็กน้อยแล้ว โดยเป็นการย้อนเหตุการณ์กลับไปใน ภาคที่ 3 และเมื่อมาถึงภาคที่ 7 นี้การเปิดตัวของ Shaw มาในบทของจอมวายร้ายเสียด้วย 

การที่ Jason Statham มารับบทเป็นวายร้ายนั้น ยิ่งทำให้ Fast & Furious ดูเข้มข้นและน่าดูมากขึ้น เพราะทุกคนคงอยากเห็นการปะทะกันของตัวละครหลัก อย่าง Vin Diesel หรือไม่ก็ The Rock กับ Jason Statham นั่นเอง ซึ่งแฟนหนัง Fast ก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ

3.Dom VS Shaw ซัดกันแหลกแบบเด็กช่าง

ซีนที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคนต้องมีฉากนี้แน่นอน การซัดกันด้วยหมัด และ งัดกันด้วยประแจ ระหว่าง Dominic Toretto กับ Deckard Shaw ใน Fast & Furious 7 โดยเนื้อเรื่องนั้นพยายามปลุกอารมณ์มาตั้งแต่ภาค 6 แล้วในฉากที่ Shaw ไปฆ่าหนึ่งในตัวละครสำคัญอย่าง Han ทำให้ Dom แค้นมาก ส่วน Shaw เองก็แค้น Dom เช่นกันที่เล่นงานเอาน้องชายของ Shaw เสียไม่เป็นผู้เป็นคน

หนังพยายามเพิ่มดีกรีความแค้นให้มาถึงจุดเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงขีดสุด ปรอทแตก ก็ต้องแลกกันด้วยมือเปล่า และ ซัดกันให้นัวด้วยท่อนเหล็กตามแนวเด็กช่างกล

4.Hobbs VS Shaw การวัดฝีมือแบบ 2 คน 2 คม

เป็นฉากปะทะกันแบบใช้ฝีมือทักษะการต่อสู้แบบมือเปล่า ของ Hobbs & Shaw ใน Fast & Furious 7 ตอนต้นเรื่อง ซึ่งอัดกันหนัก ๆ แบบจัดเต็มจริง ๆ ก่อนที่จะปิดฉากการปะทะกันด้วยของหนัก Hobbs ต้องกระโดดหนีตายจากระเบิด ทำให้ตนเองถึงกับแขนหักไปตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งการวัดเชิงศิลปะการต่อสู้มือเปล่าของ 2 คนนี้ก็ยังเป็นภาพจำของแฟน ๆ ภาพยนต์แอคชั่นไม่รู้ลืม

5.Hobbs & Shaw บู๊แสบ ๆ แบบนักโทษ

ใน Fast & Furious 8 ชาวแก๊งของ Dom เผชิญปัญหา ซึ่ง Luke Hobbs เองก็ถือเป็นหนึ่งในแก๊งนี้ไปเรียบร้อยจึงโดนร่างแหไปด้วย ทำให้ต้องถูกคุมขัง ไม่รู้บังเอิญหรืออย่างไร ดันจับ Hobbs ไปอยู่เรือนจำเดียวกับ Shaw เสียได้ และเมื่อทั้งสองเจอกันอีกครั้ง ในฐานะนักโทษ ทั้งคู่จึงมีการฟาดปากกันกันพอหอมปากหอมคอ และ กลายเป็นทั้งคู่พยายามใช้ฝีมือต่อสู้เพื่อหนีออกมาจากคุกพร้อม ๆ กันเสียอย่างนั้น

ปฏิบัติการเดือดของคู่แค้น ที่ต้องกลายมาเป็นคู่หูสุดระห่ำ ภารกิจแอคชันที่มีความปลอดภัยของโลกเป็นเดิมพัน ความมันรสชาติใหม่ของจักรวาล เร็ว…แรงทะลุนรก กับหนังเดี่ยวเรื่องแรกของแฟรนไชส์ และการเปิดเลนใหม่บนถนนที่จะเผยให้แฟน ๆ ได้รู้จักกับ 2 ตัวละครสายระห่ำมากขึ้นกว่าที่เคย ไปบู๊สุดมันกันได้ใน เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์ และ ต่อด้วยหนังดีๆอีกหลากหลายเรื่องที่เราแนะนำให้คุณได้ลองดู เร็ว...แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์

ทรานฟอร์เมอร์ 4

5 เรื่องที่คุณควรต้องรู้ก่อนดู ทรานฟอร์เมอร์ 4 Age of Extinction

อีกหนึ่งภาคต่อของหนังสงครามหุ่นยนต์ที่หลายคนเฝ้าตั้งตารอกับ ทรานฟอร์เมอร์ 4  Age of Extinction ซึ่งทางผู้กำกับอย่าง Michael Bay เองก็ได้ประกาศออกตัวไว้ก่อนหน้าที่หนังจะฉายว่าภาคนี้จะมีการยกเครื่องใหม่ เพราะต้องการปูทางไปสู่ Transformers ในมุมมองใหม่ ๆ ของการนำเสนอบ้าง 

แม้หลายคนที่ได้ลองชมภาพยนต์เรื่องนี้ไปบ้างแล้วนั้น จะบอกว่าไม่ค่อยโดนใจสักเท่าไหร่ แต่ในภาพรวม ๆ แล้วก็ทำออกมาได้ดี เป็นภาพยนต์ดูสนุกอีกเรื่อง ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูและกำลังตัดสินใจจะหามาดูในเร็ว ๆ นี้ เราก็ขอนำเสนอ 5 เรื่องที่คุณต้องรู้ก่อนจะตัดสินใจดูหนังสงครามหุ่นยนต์เรื่องนี้

1.มุมมองการนำเสนอใหม่ภายใต้คนเขียนบทคนเดิม

สำหรับทรานฟอร์เมอร์ในภาคที่ 4 นี้อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า ทางผู้กำกับ ต้องการปูทางเรื่องไปสู่การเล่าเรื่องในมิติใหม่ แต่เรื่องของการวางโครงและทิศทางของเรื่องนั้น ยังฝากไว้ให้เป็นหน้าที่ของ อห์เรน ครูเกอร์ Ehren Kruger เหมือนเดิม ซึ่งทางมือเขียนบทคนนี้ก็ได้เขียนให้กับทรานฟอร์เมอร์ ภาค 2 – 3 มาแล้ว

ทาง Michael Bay ตั้งใจว่า ในช่วงภาคที่ 1 – 3 นั้นต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นไตรภาคชุดที่ 1 และ ทรานฟอร์เมอร์ 4 เป็นต้นไปจะเป็นชุดไตรภาคที่ 2 ในภาคที่ 4 นี้จึงมีการเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่าง ศึกสงครามจึงเหมือนเริ่มต้นใหม่ในเมืองชิคาโก้ สหรัฐอเมริกานั่นเอง

2.ตัวละครกลุ่มใหม่ใน ทรานฟอร์เมอร์ 4 

เมื่อต้องการเปลี่ยนมุมมองใหม่ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวละครใหม่ด้วยเพื่อพยายามลบล้างภาพเก่า ๆ เริ่มจากกลุ่มหุ่นยนต์ออโตบอทส์ ในหนังภาคที่ 4 นี้ก็หายไป เนื้อเรื่องกล่าวไปในเชิงว่ากลุ่มหุ่นยนต์นี้ถูกมนุษย์มองว่าเป็นภัยคุกคาม จนกลุ่มหุ่นยนต์กลุ่มนี้ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ

ในส่วนของดาราที่เป็นมนุษย์ภาคนี้ก็เปลี่ยนกลุ่มยกชุด ได้ดาราสุดเก๋าอย่าง มาร์ก วาห์ลเบิร์ก (Mark Wahlberg) มารับบทเป็น เคด เยเกอร์ (Cade Yeager)ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์พ่อม่ายและเจ้าของอู่ซ่อมรถที่ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก จนอาจจะไม่มีเงินพอที่จะส่งเสียลูกสาวของตนเองเรียนต่อ ซึ่งผู้รับบทลูกสาวก็คือ นิโคลา เพลท์ซ (Nicola Peltz)

เหตุการณ์ของตัวละครหลักทั้งสองถูกผูกปมให้กลายเป็นการจุดฉนวนสงครามหุ่นยนต์ครั้งใหม่ เมื่อ Cade ไปพบรถเก่าคันหนึ่งและเขานำมาซ่อมแซม แต่ดันปรากฏว่ารถเก่าคันนั้นไม่ใช่รถ กลับเป็นออพติมัส ไพรม์ (Optimus Prime) หุ่นยนต์ดัดแปลง นั่นจึงทำให้พวกเขาถูกฝ่ายรัฐบาลตามล่าตัวทันที เรื่องวุ่น ๆ จึงเกิดขึ้น

3.ตัวละครหุ่นยนต์ในเรื่องมีการดีไซน์ใหม่ทั้งหมด

อีกสิ่งที่ต้องบอกว่าผู้กำกับต้องการเปลี่ยนโฉมให้คนเกิดภาพจำใหม่ในทรานฟอร์เมอร์ 4 นี้ก็คือ เหล่าตัวละครหุ่นยนต์ ซึ่งเรื่องนี้มีการดีไซน์ใหม่หมด เช่น

· ออพติมัส ไพรม์ (Optimus Prime) ตัวแกนหลักของเรื่องจากเดิมออกแบบและพัฒนามาจากสไตล์ของรถบรรทุก Marmon 97 และก็มีการออกแบบดีไซน์ซ้อนลงไปให้หุ่นตัวนี้อีกครั้ง โดยเปลี่ยนมายึดรูปแบบของรถบรรทุกแบบ Western Star 4900 Phantom Custom  

·บัมเบิ้ลบี (Bumblebee) ตอนแรกก็ออกแบบมาจากรถ 1967 Camaro จากนั้นก็มีการออกแบบใหม่โดยพัฒนามาจาก Chevrolet Camaro

· Ratchet ดีไซน์เริ่มต้นจากรถพยาบาล ก็เปลี่ยนมาเป็น Rescue Hummer H2

4.ภาคนี้หุ่นยนต์ไม่เป็นมิตรกับมนุษย์นัก

ในทรานฟอร์เมอร์ 4 นี้พวกหุ่นยนต์ถูกปรับบทให้แปลกแยกออกจากกลุ่มมนุษย์ คือถูกป้อนโปรแกรมให้แอนตี้มนุษย์ เพราะเข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ ทำให้พวกหุ่นยนต์ในภาคนี้พร้อมที่จะสู้รบกับมนุษย์ และแสดงความไม่เป็นมิตรได้ตลอดเวลา

5.การกำเนิดของหุ่นยนต์บางตัวมีเหตุและผลรองรับ

ในภาคก่อน ๆ นั้นเราไม่สามารถรู้ที่มาที่ไปหรือเหตุผลของการก่อกำเนิดใหนหุ่นยนต์แต่ละตัวได้ แต่ในภาคนี้ผู้กำกับอย่าง ไมเคิล เบย์ (Michael Bay)ได้มีการเพิ่มน้ำหนักและเหตุผลในการถือกำเนิดขึ้นหรือการเข้ามาในเรื่องของตัวละครหุ่นยนต์บางตัวด้วย แต่จะเป็นตัวไหน ก็ต้องขอให้คุณลองไปดูกันเอาเอง

ในภาพรวมแล้วก็ต้องบอกว่าทรานฟอร์เมอร์ 4 ก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่น่าดูอยู่ดี แม้ว่าแฟน ๆ ที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกบางคนบอกว่า ภาคนี้ไม่ค่อยโดนสักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ แต่ถึงไม่โดนใจ แฟนคลับก็ยังให้การตอบรับอยู่เสมอ ใครยังไม่ได้ดูลองหามาดูเลย ก็สนุกอยู่นะขอบอก

ติดตามเรื่องราวของภาพยนต์ดีๆ และ อัพเดทไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจได้ง่ายกับเราที่นี่

ทรานฟอร์เมอร์ 4

จูราสสิค เวิลด์

จูราสสิค เวิลด์ Fallen Kingdom มันพร้อมกลับมาขย้ำคุณอีกครั้ง

เป็น หนังภาคต่อที่ใครหลายคนบอกว่าใจจดใจจ่อกับการรอดูอยู่เลยกับ จูราสสิค เวิลด์ ภาค Fallen Kingdom นี่คือภาพยนตร์แนวปลุกชีพไดโนเสาร์ฉบับรีแบรนด์มากจากเรื่อง Jurassic Park ซึ่งไม่ว่าจะฉบับไหนก็ตามก็เรียกว่า ประสบความสำเร็จทั้งสองรูปแบบเลย เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ให้รสชาติความสนุกได้ครบรสดีจริง ๆ

จูราสสิค เวิลด์ เล่าเรื่องต่อเนื่องจากภาคแรก

สำหรับ Jurassic World ในภาคนี้สร้างต่อเนื่องจากภาคแรก 3 ปี จึงเล่าเรื่องต่อมาจากภาคแรก ซึ่งในจูราสสิค เวิลด์ ภาคแรกนั้น ได้จบลงตรงที่จูราสสิค พาร์คหรือสวนสัตว์ดึกดำบรรพ์นั้นล่มสลายไปแล้ว เหล่าไดโนเสาร์ที่ยังเหลือก็ถูกย้ายเอาไปไว้บนเกาะแห่งหนึ่งที่ธรรมชาติยังคงสมบูรณ์ และเป็นแผ่นดินที่มนุษย์จะไม่มีวันย่างกรายเข้าไป

แต่อยู่ ๆ ภูขาไฟที่อยู่บนเกาะนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น นั่นทำให้ตัวละครเอก ทั้งสองจากภาคแรก คือ โอเว่น และ แคลร์ ต้องกลับไปช่วยเหล่าไดโนเสาร์เหล่านั้นอพยพลี้ภัยเพื่อให้ให้ไม่สาบสูญไป แต่ทว่าภารกิจครั้งนี้มีเบื้องหลังแอบแฝง ไม่ใช่ภารกิจช่วยเหลือตามที่ตัวละครทั้งสองเข้าใจ ในงานนี้มีความชั่วร้ายและเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนแอบแฝงอยู่

แล้วความชั่วร้ายดังกล่าวนี้คืออะไร มีอะไรเป็นเงื่อนงำที่เก็บซ่อนอยู่ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสองบ้าง คงต้องไปตามลุ้นกันเอาเอง 

สูงสุดคืนสู่สามัญ

แม้จูราสสิค เวิลด์ Fallen Kingdom จะเป็นการรีแบรนด์และขยายอาณาจักรไดโนเสาร์ต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ แต่ในเบื้องหลังการสร้างของภาคนี้ ทีมผู้สร้างกลับต้องการงานแบบคลาสสิกกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่และสยดสยองอีกครั้ง จึงได้นำเทคนิค Animatronics หรือเทคนิคการสร้างหุ่นจำลองเสมือนกลับมาใช้อีกครั้ง โดยได้มีการใช้ผสมผสานกับเทคนิค CGI

ซึ่งในภาคแรกนั้นเป็นการใช้ CGI ทั้งหมดเลยจึงมีหลายคนวิจารณ์ว่า ตัวภาพนั้นดูขาดเสน่ห์บางอย่างไป ในภาคนี้ทีมผู้สร้างจึงนำเทคนิคเก่ากลับมาใช้ผสมกับเทคนิคใหม่ ที่จะทำให้เสน่ห์ของภาพและความสมจริงของไดโนเสาร์คืนชีพกลับมาอีกครั้ง

พัฒนาการที่มากขึ้นในภาคนี้

ใน Jurassic World ภาคนี้ก็ต้องบอกว่ามีอะไรหลายอย่างพัฒนามากขึ้น นอกจากเรื่องเทคนิคในการสร้างไดโนเสาร์แล้ว การใส่ใจในเรื่ององค์ประกอบภาพในฉากอื่น ๆ ก็ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว อย่างฉากภูเขาไฟระเบิด ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ไม่น้อย เพราะภาพดูออกมาสวยงามสมจริงมาก

ยังมีเรื่องของการถ่ายทำที่ในภาคนี้ ใช้เทคนิคการถ่ายแบบจอกว้าง ขนาด 2.39:1 โดยทีมงานกล่าวว่าต้องการให้ภาพเก็บภาพของไดโนเสาร์แบบกว้างให้เยอะที่สุด ซึ่งก็เยอะที่สุดในจักรวาลภาพยนตร์ Jurassic ทุกเรื่องที่ผ่านมาจริง ๆ

ผู้แสดงจากภาคเก่ายังคงอยู่กับเนื้อเรื่องที่หลากอารมณ์มากขึ้น

สำหรับดารานำทั้งพระเอกและนางเอกของเรื่อง ยังคงเป็นคนเดิมนั่นคือ Chris Pratt ที่มารับบทเป็นโอเว่น นักฝึกไดโนเสาร์คนเดิม และ Bryce Dallas Howard รับบทแคลร์ ซึ่งการที่ต้องเล่นบทหนีตายจากภูเขาไฟและไดโนเสาร์ที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงนั้นก็เป็นงานหนักของนักแสดงไม่น้อย เพราะจะต้องจินตนาการกันหนักเลยทีเดียว

ในส่วนของอารมณ์ของหนังนอกจากเรื่องของเสียงปึงปังจาก การเดินของไดโนเสาร์แล้ว ก็ยังมีซีนดราม่าทำให้เรารู้สึกสงสารพวกไดโนเสาร์ได้อยู่เหมือนกัน และนอกเหนือจากนั้นก็ยังมีอารมณ์ตลกร้ายที่แฝงไว้ในเรื่องอยู่บางจุดที่หลายคนดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าจดจำ ไม่ได้ทำมาเพื่อให้ดูผ่าน โดยรวมจึงกลายเป็นภาพยนตร์ที่ให้อารมณ์หลากรสชาติเลยทีเดียว

มีการเสริมเรื่องปรัชญาชวนคิดเข้าไปในเรื่องด้วย

สิ่งหนึ่งที่ผู้กำกับและทีมผู้สร้างพยายามที่จะสื่อเข้าไปในจูราสสิค เวิลด์ภาคนี้ก็คือ เรื่องปรัชญาการอยู่ร่วมกัน ปรัชญาการใช้ชีวิต รวมไปถึงประเด็นเรื่องของศีลธรรม มีคำพูดคม ๆ แฝงอยู่ในเรื่องหลายครั้ง แม้บางคนบอกว่าดูไร้พลังไปสักหน่อย แต่ก็ทำให้รสชาติภาพยนตร์เรื่องนี้อร่อยกลมกล่อมดีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

สรุปแล้วจูราสสิค เวิลด์ ภาค Fallen Kingdom เป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกอีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะขอแนะนำและชวนให้คุณทุกคนมาได้ดู การเดินเรื่องก็ทำได้ไหลลื่น ใครพร้อมจะหนีการขย้ำจากเหล่าไดโนเสาร์แล้ว ต้องรีบไปหามาดูเลย ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนต์ดีๆที่สนุก และ สามารถดูได้ทั้งครอบครัว

จูราสสิค เวิลด์

บลูทูธ

5 เรื่องที่ต้องรู้ในการเลือกซื้อลำโพงแบบบลูทูธ เลือกอย่างไรได้เสียงที่ดีดังใจ

ในระยะ 3 – 4 ปีที่ผ่านมานี้กระแสความนิยมลำโพงไร้สาย หรือลำโพง บลูทูธ (Bluetooth Speaker) นั้นได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเครื่องเสียงที่มีอิทธิพลสูง กับการใช้งานฟังเพลงในปัจจุบัน ซึ่งในตอนนี้ลำโพงไร้สายแบบนี้ก็มีหลากหลายแบบ หลากหลายแบรนด์ให้เลือก มีทั้งลำโพงเข็น ลำโพงคอม ลำโพงแบบพกพา 

เมื่อมีเยอะแบบนี้ จึงมี 5 เรื่อง ที่คุณจำเป็นจะต้องรู้ ก่อนที่จะทำการเลือกซื้อ เพื่อให้คุณได้ลำโพงที่ให้คุณภาพเสียงดี ประสิทธิภาพการเชื่อมต่อเสถียร จะมีอะไรบ้างนั้น มาติดตามกันได้เลย

1.สถานที่ในการเปิดใช้ลำโพง บลูทูธ

เรื่องของสถานที่ หรือขนาดของพื้นที่นั้น เป็นปัจจัยหลักที่คุณควรจะต้องคำนึงถึงก่อนเลย เพราะการจะเลือกซื้อลำโพงบลูทูธ ขนาดไซส์เล็ก หรือไซส์ใหญ่ ก็จะต้องพิจารณาจากปัจจัยเรื่องพื้นที่ก่อน ขนาดของพื้นที่นั้นมีผลอย่างมากต่อเรื่องความดังเบา และคุณภาพของเสียง รวมไปถึงเรื่องการส่งสัญญาณเชื่อมต่อ bluetooth ระหว่างอุปกรณ์ฟังเพลงด้วย ยกตัวอย่างเช่น

· ใช้ภายในห้องนอน: พื้นที่ห้องนอนนั้น ขนาดไม่กว้างอยู่แล้ว อยู่ได้ 1 – 2 คน แบบนี้ใช้ลำโพงขนาดไซส์เล็กสุดเลยก็เพียงพอแล้ว วางตำแหน่งลำโพงให้ห่างจากเราไปไม่เกิน 1 เมตร แค่นี้ก็ได้คุณภาพระดับเสียงที่พอเหมาะสมแล้ว

· ใช้ภายในห้องนั่งเล่น: พื้นที่ห้องนั่งเล่น หรือโถงขนาดกลาง ๆ พื้นที่จะอยู่ประมาณ 10-20 ตร.ม. จุคนได้ประมาณ 3 – 5 คน แบบนี้จะใช้ลำโพงขนาดเล็ก ก็ยังให้เสียงที่คมชัดได้อยู่

· ใช้ในพื้นที่กลางแจ้ง: เป็นการล้อมวงปาร์ตี้ พื้นที่จุคน ประมาณ 5 – 10 คน แบบนี้ใช้ลำโพงขนาดกลาง ก็ให้เสียงที่ดังกระหึ่มแล้ว

2.ความจำเป็นในการพกพา บลูทูธ

จุดเด่นของลำโพง bluetooth ก็อยู่ที่เรื่องการเชื่อมต่อไร้สาย ทำให้สามารถพกพาใช้งานในสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ไม่มีสายมาเกะกะให้เป็นภาระ ทำให้ปัจจัยเรื่องการพกพา กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ต้องคำนึงถึงด้วยเวลาที่จะเลือกซื้อ 

หากคุณต้องการพกพาติดตัวไปกับกระเป๋าเป้ หรือกระเป๋าสะพาย หรือ โดยสารรถสาธารณะ ลำโพงขนาดเล็ก หรือขนาดกลาง ก็จะเหมาะสมที่สุด แต่ถ้าปกติคุณเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว และต้องมีการใช้ลำโพงนอกสถานที่เสมอ แบบนี้จะเลือกได้ทุกไซส์ ทุกขนาดเลย ตั้งแต่เล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ แต่ถ้าคุณไม่สามารถเปิดลำโพงในที่สาธารณะได้ อีกตัวเลือกนึงที่ช่วยคุณได้ คือ หูฟังบลูทูธ ที่จะทำให้คุณสะดวกสบายฟังเพลงได้ทุกที่ และ ไม่รบกวนคนรอบข้าง

3.ความสมบุกสมบันในการใช้งาน

เราจำเป็นที่จะต้องนำลำโพงบลูทูธไปใช้ในสถานที่ และสภาพแวดล้อมแบบไหนบ้าง ตรงนี้ก็ต้องคำนึงถึงด้วย บางคนพกพาไปฟังที่ริมทะเล ริมสระน้ำ กลุ่มนี้ก็จะมีโอกาสที่จะสัมผัสน้ำ ความชื้น ส่วนบางคนพกพาไปใช้ในเวลาตั้งแคมป์ตามสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ ก็อาจจะต้องสัมผัสทราย ฝุ่นโคลน 

ถ้าต้องนำไปใช้ในพื้นที่เหล่านี้ ก็แนะนำว่า ให้เลือกซื้อลำโพงแบบที่กันน้ำกันฝุ่นได้ไปเลย ปัจจุบันมีหลายแบรนด์ที่มีดีไซน์พิเศษ นอกจากจะกันน้ำได้แล้ว ยังสามารถนำไปลอยน้ำ หรือใช้บนผิวน้ำได้ด้วย แต่แน่นอน ราคาของลำโพงแบบนี้ก็จะสูงขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ คุณจึงต้องพิจารณาลักษณะการใช้งานตรงนี้ด้วย ถ้าไม่ได้ใช้สมบุกสมบันมากนัก เลือกแบบทั่วไปก็พอ จะได้เซฟเงินขึ้นอีก

4.เรื่องของแบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของลำโพงบลูทูธ จะมีให้เลือกหลายความจุ ถ้าคุณเป็นคนฟังนาน และไม่ค่อยมีเวลามาชาร์จไฟบ่อย ๆ ก็ให้เลือกแบบที่มีความจุแบตเตอรี่เยอะ ๆ อย่างความจุที่สามารถฟังได้ 15 – 20 ชั่วโมง ถ้าฟังไม่นาน และมีเวลาดูแลชาร์จไฟอาจเลือกความจุที่ประมาณ 6 – 7 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว ตรงนี้ก็มีผลต่อเรื่องของราคาด้วยเช่นกัน

5.ฟีเจอร์และลูกเล่น 

ปัจจัยนี้ ก็เป็นส่วนเสริม ที่ควรจะต้องนำมาพิจารณาด้วย เพื่อความคุ้มค่า ลำโพงบางรุ่นอาจมีการเพิ่มฟีเจอร์การเชื่อมต่อลำโพงหลายตัวได้ บางรุ่นก็อาจจะเปลี่ยนตัวเองเป็น Power Bank ได้ด้วย ซึ่งดีต่อคนที่ต้องการชาร์จมือถือไปในตัว ปัจจัยเหล่านี้ ก็ควรจะพิจารณาควบคู่กันไปด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้คุณได้ลำโพงตัวเก่ง ที่มีคุณสมบัติสูง ตามความต้องการ

นี่คือ 5 สิ่งที่คุณควรจะต้องรู้เอาไว้ก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อลำโพงบลูทูธ ถ้าพิจารณาตามหลักนี้ โอกาสที่คุณจะเลือกลำโพงที่เสียงดี ตอบโจทย์การใช้งาน มีฟีเจอร์เจ๋ง ๆ แบบคุ้มราคาที่จ่ายไป ก็มีสูงขึ้นแล้ว ลองนำไปใช้กันดูนะ

อย่าลืมติดตามบทความ สาระความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ และ เทคโนโลยี ที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณง่ายมากขึ้น และ อัพเดทเทรนสินค้าใหม่ๆ ไปกับเรา ได้ที่นี่

บลูทูธ

โดเรมอนเดอะมูฟวี่

3 ตอนสุดคลาสสิกของโดเรมอนเดอะมูฟวี่ ที่ดูกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อ 

ต้องบอกเลยว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักกับโดเรมอน หรือโดราเอมอน เพราะนี่คือหนังการ์ตูนที่ครองใจคนทุกรุ่นจริง ๆ ทุกวันนี้คนก็ยังหาฉบับที่เป็นหนังสือการ์ตูนและในแบบฉบับที่เป็นภาพยนตร์มาดูกันอยู่ ซึ่งใครที่คิดถึงเจ้าแมวสีฟ้าจากโลกอนาคตตัวนี้อยู่พอดี เราก็จะขอแนะนำ 3 ตอนสุดคลาสสิกของฉบับที่เป็น โดเรมอนเดอะมูฟวี่ ซีรีย์ตอนยาวที่ควรควรหามาอ่านให้หายคิดถึง

1.ตอนไดโนเสาร์ของโนบิตะ

ต้องบอกเลยว่าโดเรมอนเดอะมูฟวี่ตอนไดโนเสาร์ของโนบิตะนี้เป็นหนึ่งตอนที่ใครหลายคนยังประทับใจจนถึงทุกวันนี้ ในตอนนี้นั้นมีการทำออกมาทั้งที่เป็นฉบับหนังสือและฉบับที่เป็นหนังการ์ตูนด้วย สำหรับใครที่เคยอ่านแต่ไม่จบ หรือ อ่านมานานแล้ว เริ่ม ๆ ลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว ลองมาทบทวนกันสักเล็กน้อย

ในตอนนี้ซึเนะโอะไปได้ฟอสซิลเล็บไดโนเสาร์มา จึงเอามาอวดเพื่อนตามเคย แต่เขาไม่ยอมให้โนบิตะดูแบบใกล้ ๆ อยู่คนเดียว โนบิตะรู้สึกเจ็บใจจึงเผลอหลุดปากไปด้วยความโมโหว่า เขาจะขุดหาฟอสซิลไดโนเสาร์แบบของแท้มาให้ซึเนะโอะได้ดูเอง และก็อีกตามเคย โนบิตะกลับไปขอให้โดราเอมอนช่วย

โดราเอมอนสวดกลับโนบิตะยกใหญ่ที่พูดไม่คิด โดราเอมอนไม่ยอมช่วย แต่โนบิตะไม่ละความตั้งใจ จึงออกไปลองขุดหาฟอสซิลไดโนเสาร์ตามที่ต่าง ๆ สุดท้ายก็เจอหินประหลาด โนบิตะเชื่อว่าน่าจะเป็นไข่ของไดโนเสาร์ เขาเอากลับบ้าน โดราเอมอนเห็นเข้าก็ใจอ่อน จึงแอบเอาผ้าคลุมกาลเวลาออกมาให้ใช้ เพื่อทำการย้อนอดีตไข่ใบนั้นไปยังยุคไดโนเสาร์

สุดท้ายไข่ใบนั้นก็ฟักตัวและออกมาเป็นไดโนเสาร์จริง ๆ และโนบิตะก็ตั้งชื่อมันว่า “พีสุเกะ” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ลองหามาอ่านก็ดู

2. โดเรมอนเดอะมูฟวี่ ตอนตะลุยแดนมหัศจรรย์

โนบิตะและผองเพื่อนรู้สึกเซ็งกับชีวิต รู้สึกอยากออกไปผจญภัย จึงได้ไปขอร้องโดราเอมอนให้ช่วยหาดินแดนลึกลับเพื่อที่จะได้ไปสำรวจกัน แต่การจะหาดินแดนตกสำรวจแบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เรื่องนี้จึงต้องรอเวลา

แต่แล้ววันหนึ่งโนบิตะก็ไปพบกับสุนัขพลัดหลงตัวหนึ่งและเขาก็เก็บมาเลี้ยงที่บ้าน โดยตั้งชื่อให้มันว่า “เปโกะ” สุนัขตัวนี้มีความแปลกประหลาดดูไม่เหมือนสุนัขทั่วไป ต่อมาโดราเอมอนก็พบดินแดนตกสำรวจที่อยู่ในโซนป่าลึกของแอฟริกา พวกเขาจึงพากันออกไปผจญภัยพร้อมกับพาเจ้าเปโกะไปด้วย

การเดินทางในครั้งนี้มีอุปสรรคมากมาย ถึงขนาดจอมโหดอย่างไจแอนท์ยังเกือบจะถอนตัว ยิ่งสำรวจยิ่งพบอะไรที่แปลกลึกลับ และ ณ ดินแดนประหลาดนี่เองที่เป็นเปิดเผยว่าเจ้าเปโกะแท้ที่จริงไม่ใช่สุนัขธรรมดาอย่างที่เข้าใจกัน

ตอนตะลุยแดนมหัศจรรย์นี้เป็นโดเรมอนเดอะมูฟวี่อีกหนึ่งตอนที่หลายคนชอบมาก มีความคลาสสิกและหลายคนอ่านแล้วดูแล้วก็ยังนำกลับมาดูอีกเรื่อย ๆ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต้องติดตามกันเอง

3. โดเรมอนเดอะมูฟวี่ ตอนผจญภัยใต้สมุทร

ในโดเรมอนเดอะมูฟวี่ตอนนี้ไจแอนท์และซูเนโอะได้ไปพบเจอข่าวเรื่องการค้นพบทองในเรือลำหนึ่งที่เรียกกันว่าเรือปีศาจ พวกเขาเกิดแรงบันดาลใจอยากลองผจญภัยในโลกใต้ท้องทะเลดูบ้าง จึงไปขอให้โดราเอมอนช่วย และโดราเอมอนได้เอาของวิเศษออกมา พาทุก ๆ คนไปเที่ยวใต้ท้องทะเล แต่การเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเจอความลึกลับใหม่

ที่โลกใต้ทะเลกลับมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเคยมีอาณาจักรของตนเอง แต่ก็ต้องล่มสลายลง เพราะมีบางสิ่งถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้ทำลายอาณาจักรแห่งนี้เมื่อถึงเวลา กลุ่มของโดราเอมอนจึงต้องช่วยกันหยุดยั้งเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่จะเกิดขึ้นนี้ แต่จะทำได้หรือไม่ ต้องไปหามาดูกัน

นี่คือ 3 ตอนสุดคลาสสิกของโดเรมอนเดอะมูฟวี่ที่บอกเลยว่าจะนำมาดูกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อเลย มีทั้งเวอร์ชันหนังสือการ์ตูน และภาพยนต์การ์ตูน ใครคิดถึงเข้าแมวสีฟ้าตัวนี้และผองเพื่อนไปหามาชมกันได้

โดเรมอนเดอะมูฟวี่

กังฟูแพนด้า 3

เปิดยุทธจักรความฮาแบบ Nonstop ไปกับ “กังฟูแพนด้า 3”

ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แนวแอนิเมชัน ที่โด่งดังค้างฟ้าและเป็นผลงานระดับ Hollywood แล้ว ในใจของใครหลายคนน่าจะมีอยู่หลายเรื่องแต่ ถ้าระบุให้ชัดลงไปเป็นแนวกังฟูที่แฝงความตลกและแง่คิด เชื่อว่า “กังฟูแพนด้า” น่าจะผุดขึ้นมาในใจทันที ซึ่งในกังฟูแพนด้า 3 นั้นแม้จะเป็นภาคสุดท้าย แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งแก่นเดิมของคอนเซ็ปต์ไว้ได้อย่างชัดเจน ทั้งความสนุก และ เนื้อหาสาระสอนใจให้กับเด็กๆ

กังฟูแพนด้า 3 เนื้อเรื่องยังคงน่าติดตามไม่แพ้ 2 ภาคแรก

สำหรับงานภาค 3 ของกังฟูแพนด้านั้น ยังเป็นหนังแอนิเมชันแอคชัน ผจญภัย ผสมตลก ที่มีเนื้อเรื่องต่อเนื่องมาจาก 2 ภาคแรก โดยเนื้อหาในกังฟูแพนด้า 3 นั้นยังคงอยู่กับแพนด้าพุงพลุ้ย ที่ชื่อว่า  “โป”  ในฐานะตัวละครเอกที่เป็นนักสู้กังฟู ในภาค 3 นี้ โปได้พาเพื่อน ๆ จอมป่วน สุดยียวนกวนประสาทยกโขยงกันมากวนใจทุกคนกันทั้งหมู่บ้านแพนด้ากันอีกครั้ง

โป จากที่เคยเป็นแพนด้าที่ทำงานคอยเสิร์ฟบะหมี่ หลังจากที่ได้ไปฝึกวิทยายุทธ์กับ ซิฟู ปรมาจารย์ด้านกังฟูจนเชี่ยวชาญ วิชาแก่กล้าขึ้น ก็สามารถไปจัดการกับเหล่าศัตรูในยุทธภพได้ จนได้รับฉายาว่า “นักรบมังกร” ตามเนื้อเรื่องจากทั้งภาค 1 – 2 โดยในภาค 2 นั้นหมู่บ้านแพนด้าก็เกือบจะสิ้นชื่อไปแล้ว โชคยังดีที่เขายังคงดูแลไว้ได้

ในภาค 3 นี้ โป พลิกบทบาทอีกครั้ง จากที่เคยเป็นศิษย์วันนี้ เขาได้กลายมาเป็นอาจารย์หรือเจ้าสำนักแล้ว แต่ตัวของโปเองกลับรับตำแหน่งนี้ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง ว่าจะทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ได้ดีสักแค่ไหน ในความสับสนนี้อยู่ ๆก็เกิดเรื่องขึ้นให้ลำบากใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อพ่อที่แท้จริงของโปปรากฎตัวขึ้น และบอกให้โปกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านในดินแดนลับแล

ในขณะเดียวกัน เรื่องราวก็ยุ่งหนักขึ้นไปอีก เมื่อ “ไค่” อสูรร้ายมากฝีมือก็ดันมาปรากฏตัวขึ้นด้วย และได้ออกระรานยุทธภพ ถล่มสำนักกังฟูมากมาย และได้จับตัวศิษย์ร่วมสำนักของโป รวมถึงซิฟูอูเกวไปด้วย นั่นจึงกลายเป็นภารกิจและการตัดสินใจครั้งสำคัญของโป เขาจะเรียกความมั่นใจกลับมาได้อย่างไร และจะสามารถช่วยเพื่อนและอาจารย์ได้หรือไม่ ต้องไปติดตามในกังฟูแพนด้า 3

ลึกซึ้งกว่าที่คิด ให้อะไรมากกว่าความสนุก

อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า คอนเซ็ปต์ของจักรวาลกังฟูแพนด้านั้น วางไว้ให้มีแอคชัน ความสนุกสนาน + ตลกขำขัน แต่ในภาค 3 นี้มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นในเรื่องของการเป็นหนังการ์ตูนที่ให้ข้อคิด ซึ่งไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถถอดแง่คิดจากเรื่องไปใช้ได้ 

ภายในเรื่องยังสอดแทรกทั้งปรัชญาการใช้ชีวิต ปรัชญาจีนในเรื่องของหยิน -หยางและความสมดุลของชีวิต เราควรจะทำอย่างไรใช้ชีวิตแบบไหนชีวิตของเราถึงจะเกิดความสมดุล ทั้งเรื่องภาระหน้าที่ และเรื่องของครอบครัว เรียกว่าภาคนี้มีอะไรที่มากกว่าความฮา เพราะแทรกข้อคิดและคติสอนใจไว้ภายเรื่องหลายจุดเลยทีเดียว

ที่สำคัญเรื่องหนึ่งที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากเลยก็คือ การสอดแทรกเรื่องราวของมิตรภาพและความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งหลายคนที่ได้ดูแล้วต่างบอกว่า ทำออกมาได้อย่างลื่นไหลกลมกลืน แล้วรู้สึกไม่เหมือนถูกยัดเยียดให้รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ ในทางกลับกันทีมผู้สร้างได้ทำให้เรื่องราวเหล่านี้สามารถดูได้เพลิน ไม่เป็นเรื่องที่จริงจังและดูซีเรียสเกินไป สามารถดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยจริง ๆ

ระดมมือทองในการสร้างสรรค์งาน

สำหรับเบื้องหลัง กังฟูแพนด้า 3 นั้นยังคงระดมยอดฝีมือและคนดังเข้ามาร่วมงานอยู่ด้วยเหมือนเช่น 2 ภาคแรก ในส่วนของการกำกับนั้น ยังคงเป็น Jennifer Yuh และ Alessandro Carloni ที่รับหน้าที่ต่อมาจาก 2 ภาคแรกเช่นเคย ส่วนทีมพากย์ให้เสียงในภาค 3 นี้คนดังเพียบ ทั้ง

· Jack Black 

· Bryan Cranston

· Dustin Hoffman 

· Angelina Jolie

·  J. K. Simmons

· Jackie Chan

· Lucy Liu

· ฯลฯ

ใครที่ยังไม่มีโอกาสได้ดูกังฟูแพนด้า 3 บอกเลยว่าควรไปหามาดูเลย นี่คือภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำออกมาได้ดีทั้งงานภาพ ทั้งเนื้อเรื่อง และการให้เสียงพากย์ เป็นการเติบโตของเจ้าแพนด้าจอมกวนที่ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความลงตัว คุณจะตื่นเต้นไปกับเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้ดีจริง ๆ หากคุณพร้อมรับความเฮฮาสุดหรรษาจากเหล่าแพนด้าสุดป่วน ต้องไปหามาดูเลย นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีภาพยนต์ภาคต่ออีกหลายเรื่องที่มีเนื้อหาสนุกๆ น่าติดตาม สำหรับดูได้ทั้งเด็กและ ผู้ใหญ่ ให้ได้เลือกคุณเลือกปลดปล่อยความเครียด ใช้เวลาในเวลาว่างไปด้วยกันได้ทั้งครอบครัว อย่าง Transformer ภาคต่อ หรือ Doraemon the movie กันอีกด้วยกังฟูแพนด้า 3

กังฟูแพนด้า 2

กังฟูแพนด้า 2 ปล่อยวางจิตให้ว่าง แล้วเตรียมรับความฮากัน

จากความสำเร็จในภาคแรกจนถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ทีมงาน Dreamwork Animation จึงสานต่อความสำเร็จกันต่อกับ กังฟูแพนด้า 2 ซึ่งภาคนี้ความฮา ความสนุกยังคงอยู่เช่นเดิม แต่ที่มีเพิ่มเติมคือเรื่องของปรัชญาและคติสอนใจในการใช้ชีวิต ซึ่งนี่ไม่ใช่มูฟวี่แอนิเมชัน แบบเด็ก ๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะผู้ใหญ่ก็ดูได้ และแถมสนุกอีกด้วย

กังฟูแพนด้า 2 เล่าเรื่องราวต่อเนื่องกับการผจญภัยของ “โป”

ในกังฟูแพนด้า 2 นี้เนื้อเรื่องดำเนินต่อเนื่องมาจากภาคแรก เจ้า “โป” แพนด้าตัวอ้วนที่ตอนนี้กลายเป็นคนดังในยุทธจักรในฐานะของนักรับมังกร ก็ต้องเจอความท้าทายครั้งใหม่ โดยเนื้อเรื่องในภาค 2 นี้ได้เริ่มต้นโดยการย้อนกลับไปในอดีตของแผ่นดินจีนในยุครุ่งเรือง ณ ตอนนั้นแผ่นดินถูกปกครองด้วยราชาและราชินีนกยูง ซึ่งมีบุตรชายมีนามว่า “เชน”

เชน นั้นแตกต่างจากพ่อและแม่ของเขา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความมืดบอด ทำให้เขาลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ เขาจึงทำแต่ความชั่วร้ายต่าง ๆ ออกแสวงหาอำนาจโดยการไปทำลายเผ่าพันธุ์อื่น และที่แย่ที่สุดคือเขาได้ขยายอำนาจไปรุกรานเผ่าพันธุ์แพนด้าด้วย นั่นจึงเชื่อมโยงเรื่องราวเข้ามาเกี่ยวข้องกับ “โป”

จากพฤติกรรมด้านมืดของบุตรชาย ราชาและราชินีนกยูงถึงกับรับไม่ได้และได้ขับไล่เชนออกจากเมือง เชนไม่สำนึกผิดแต่กลับเก็บความแค้นไว้ในใจลึก ๆ และรอวันที่จะกลับมาทวงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดว่าเป็นของเขาคืน และแล้ววันนั้นก็มาถึง

เชนรวบรวมสรรพกำลังจากกองกำลังหมาป่า และกลับมารุกรากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ อีกครั้ง เขาได้สังหารอาจารย์กังฟูท่านหนึ่งไป ข่าวร้ายนี้ได้แพร่กระจายไป และไปถึง ซิฟู นั่นจึงนำมาซึ่งภารกิจการต่อสู้ผดุงความยุติธรรมอีกครั้งของเหล่าบรรดายอดกังฟู อันมีโป ไทเกรส เจ้านกกระเรียน เจ้าตั๊กแตน เจ้าลิง และอสรพิษ การต่อสู้นี้จะลงเอยแบบไหน คงต้องหามาดูกันล่ะ

ยอดเยี่ยมไม่ใช่แค่วรยุทธ์และความฮา

สิ่งหนึ่งที่กังฟูแพนด้า 2 สอดแทรกไว้ในการดำเนินเรื่องอยู่เสมอ และทำได้ลื่นไหลมาก ๆ ก็คือ การฝากคติธรรมและข้อคิดในการดำเนินชีวิต ซึ่งในภาค 2 นี้ มีแง่คิดอยู่หลายเรื่องทีเดียวตั้งแต่เรื่องของ การทำทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าทำไม่ได้ให้เป็นจริงได้ แค่เริ่มต้นจากการ “ปล่อยวาง” เรื่องความสามัคคี เรื่องของความโลภ เรื่องของความกตัญญู มิตรภาพและเรื่องของครอบครัว

ที่หลายคนยกย่องก็คงเป็นเรื่องของความรักและเรื่องของครอบครัว แง่คิดในภาคนี้ได้สอดแทรกไว้พร้อมกับการไขปมปริศนาที่มาจากภาคแรก ที่เราต่างทราบกันว่า โปเป็นแพนด้า แต่ผู้เป็นบิดากลับเป็นห่านคอยาวหาใช่แพนด้าที่เป็นสายพันธุ์เดียวกัน ในภาคสองนี้ได้มีการเฉลยเรื่องราวตรงนี้ไว้ ว่ามิสเตอร์พิงไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของโป 

มิสเตอร์พิงไปพบโปเข้าโดยบังเอิญ แม้จะต่างสายพันธุ์แต่เขาก็ยังมีเมตตาต่อสรรพชีวิตที่แตกต่างจากเขา นั่นทำให้เขามอบความรักความเอ็นดูให้กับเสี่ยวโปและปฏิบัติหน้าที่เลี้ยงดูโปเป็นลูกชายเรื่อยมานั่นเอง

ยังคงเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำรายได้สูง

ในกังฟูแพนด้าภาคแรกนั้นก็เรียกว่ากวาดรายได้ไปอย่างถล่มทลาย เมื่อมาต่อกันที่ภาค 2 แอนิเมชันเรื่องนี้ก็ยังคงแรงไม่หยุด ในสัปดาห์แรกที่เปิดตัวในอเมริกามูฟวี่แอนิเมชันเรื่องนี้ก็ทำรายได้สูงถึง 5.8 ล้านดอลลาร์แล้ว และเมื่อมาสำรวจตลอดช่วงที่ภาพยนตร์ฉายในสหรัฐฯและแคนาดาก็กวาดรายได้ไปสูงถึง 165.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เท่านั้นยังไม่พอกังฟูแพนด้า 2 ได้มีการฉายไปในหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งก็ทำรายได้สูงมากทีเดียว เมื่อรวมแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรายได้ไปทั้งหมดราว 665.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว สะท้อนถึงความสำเร็จอย่างล้นหลามของภาคต่อในเรื่องนี้

ใครที่ยังไม่เคยดูกังฟูแพนด้า 2 ขอแนะนำเลยว่าให้ลองหามาดู เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์การ์ตูนอย่างที่ตาคุณเห็น เพราะเนื้อเรื่องภายในบอกเลยว่าดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แม้จะมีเรื่องราวสาระสอนใจแต่ก็หนีไม่พ้นความฮาที่มีอยู่ในทุกตัวละครหลักของเรื่อง ลองปล่อยวางจิตคุณจากเรื่องหนัก ๆ ในชีวิตและใช้เวลาไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้ดู รับรองสนุกกว่าที่คิดเยอะเลย

นอกจากนี้ก็ยังมีภาพยนต์อีกหลากหลายเรื่อง ที่ทั้งสนุก มีเนื้อหาสาระที่เรียกได้ว่าทั้งเด็กดูได้ และ ผู้ใหญ่ดูดี ที่จะมาช่วยเสริมสร้างจินตนาการ เพิ่มความสนุก ในช่วงเวลาพักผ่อนของคุณและ ครอบครัว ลองคลิกดูที่กังฟูแพนด้า 2