รองเท้าเซฟตี้ จำเป็นมากแค่ไหน ทำไมถึงควรใส่ ช่วยได้อย่างไร?
เคยสงสัยไหมว่าทำไมผู้ที่ทำงานก่อสร้างหรือโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ถึงจำเป็นต้องสวมใส่ รองเท้าเซฟตี้ ? เพราะผู้ที่ทำงานในสถานที่นั้น ๆ มีความเสี่ยงสูงมากกว่าการทำงานในสถานที่ทั่วไป เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใกล้ชิดกับเครื่องจักร ของมีคม ของหนักของแข็ง สารเคมี น้ำมัน หรืออื่น ๆ การสวมใส่รองเท้าจึงไม่ใช่แค่รองเท้าแบบทั่วไป แต่ควรเป็นรองเท้าที่ช่วยเซฟตี้ได้ด้วย เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
รองเท้าเซฟตี้ช่วยให้ปลอดภัยอย่างไร ช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง?
· ช่วยป้องกันเท้าจากวัตถุแหลมคม รองเท้าเซฟตี้ผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งแรงและทนทานสูงจึงช่วยป้องกันการถูกของแหลมคมอย่างตะปู นอต เศษเหล็กหรือเศษกระจกทิ่มแทงได้
· ช่วยป้องกันของหนักหล่นใส่เท้าหรือแรงกระแทก หัวรองเท้าออกแบบมาเป็นรองเท้านิรภัยที่ผลิตจากเหล็กหรือโลหะที่มีความแข็งแรงสูง จึงช่วยป้องกันของหนักหล่นใส่หน้าเท้าได้ เพราะบริเวณหน้าเท้าเป็นบริเวณที่มีกระดูกและเส้นเลือด หากถูกของหนักหล่นใส่แรง ๆ อาจทำให้กระดูกแตกหรือนิ้วเท้าขาดได้
· ช่วยป้องกันการตัดเฉือนได้ ในกรณีที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้เครื่องจักรกลหรือเครื่องมืออุตสาหกรรมที่มีความคมสูงอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุในการตัดเฉือนได้ง่าย เช่น การใช้เครื่องตัดไฟฟ้า เลื่อยไฟฟ้า และอื่น ๆ
· ช่วยป้องกันไฟฟ้าดูดหรือช็อต พื้นรองเท้าจะผลิตจากยางหรือหนังแท้ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิตจากกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหล จึงช่วยป้องกันไฟดูดหรือไฟช็อตได้
· ช่วยป้องกันการลื่น สำหรับงานที่ต้องเผชิญกับคราบน้ำมันหรือสารอื่น ๆ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถือว่ามีโอกาสสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการลื่นได้ง่าย รองเท้าเซฟตี้จึงออกแบบมาเพื่อช่วยป้องกันการลื่นได้
การเลือกรองเท้าเซฟตี้สำคัญแค่ไหน ควรดูที่อะไรบ้าง?
· เลือกให้เหมาะกับประเภทการใช้งาน หลายคนมักเข้าใจว่ารองเท้าเซฟตี้สามารถใช้งานได้ทุกประเภทไม่ว่าจะทำงานด้านไหนก็ตาม แต่ความจริงแล้วออกแบบมาให้ใช้งานได้เฉพาะทาง โดยแต่ละแบบจะออกแบบมาให้มีประโยชน์การใช้งานที่ต่างกัน จึงควรเลือกประเภทที่เหมาะกับการทำงานเป็นหลัก เช่น หากทำงานก่อสร้างที่เสี่ยงต่อของมีคมและของหนัก ควรเลือกรองเท้าเซฟตี้หัวเหล็กเพื่อช่วยป้องกันของหนักหล่นใส่และแรงกระแทกต่าง ๆ หรือหากทำงานเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้า ควรเลือกรองเท้าที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันไฟฟ้าสถิตได้ด้วย
· เลือกจากหัวรองเท้า ควรเลือกรองเท้าที่เป็นหัวเหล็กหรือหัวคอมโพสิต เพราะช่วยป้องกันแรงกระแทกได้ดีกว่า โดยสามารถป้องกันแรงกระแทกได้สูงถึง 200 จูล หรือประมาณ 20 กิโลกรัม จากความสูง 1 เมตร
· เลือกจากหนังรองเท้า หลัก ๆ แล้วแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ หนังแท้ และหนังเทียม โดยหนังแท้จะมีความทนทานมากกว่า ทนต่อการขีดข่วนและมีความยืดหยุ่น แต่จะมีราคาสูงกว่าหนังเทียม ส่วนหนังเทียมจะมีน้ำหนักเบากว่า สวมใส่สบาย ช่วยป้องกันสารเคมีบางประเภทได้ เหมาะสำหรับงานเบา ๆ
· เลือกจากพื้นรองเท้า แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ พื้นยางไนไตรล์ (NBR) และพื้น PU (Polyurethane) โดยพื้นยางไนไตรล์จะมีความทนทานสูง ทนต่อสารเคมีและน้ำมัน ช่วยป้องกันการลื่นได้ดี ที่สำคัญคือ สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 300 องศาเซลเซียส ส่วนพื้น PU จะทนความร้อนได้ประมาณ 160 องศาเซลเซียส และช่วยป้องกันการลื่นได้
· เลือกรองเท้าที่มีมาตรฐานมอก. รองเท้าเซฟตี้ที่ดีควรเป็นรองเท้าที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพราะเป็นมาตรฐานที่ช่วยยืนยันได้ว่ารองเท้าคู่นั้นได้ผลิตมาอย่างได้มาตรฐานและสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรหลีกเลี่ยงรองเท้าที่ไม่มีมาตรฐานมอก. เพราะเป็นรองเท้าที่ไม่ได้มาตรฐานและขาดคุณภาพในการใช้งาน ช่วยปกป้องเท้าและป้องกันอุบัติเหตุได้ไม่เต็มที่ หากนำมาสวมใส่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
· เลือกขนาดที่สวมใส่ได้พอดีเท้า ไม่ควรมีขนาดเล็กหรือใหญ่จนเกินไป เพราะจะทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวกและไม่คล่องตัว เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และไม่ควรนำรองเท้าของผู้อื่นมาใส่ เพราะนอกจากจะมีขนาดที่ไม่พอดีเท้าแล้วยังทำให้เกิดความไม่มั่นใจในคุณภาพของรองเท้าด้วย
จะเห็นว่า รองเท้าเซฟตี้ นั้นเป็นอุปกรณ์เซฟตี้ที่สำคัญและมีความจำเป็นในการทำงานไม่น้อยเลย หากใครที่ทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง โรงไฟฟ้า เครื่องจักรกล หรืองานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็อย่าลืมเลือกซื้อไปใช้เพื่อความปลอดภัยในการทำงานของคุณ
