ขนมไดฟุกุ

สาระความรู้ครบเครื่องเรื่อง ขนมไดฟุกุ สำหรับคนรักความหวาน

ปัจจุบันนี้หากมีใครสักคนบอกว่า “ยังไม่เคยรับประทาน ขนมไดฟุกุ ” จะถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างพลาด ถึงแม้ว่าจะไม่ร้ายแรงอะไรเพราะความชอบในเรื่องรสชาติอาหารของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยน่าจะได้ทดลองสัมผัสความนุ่มนิ่มและนุ่มนวลของขนมชนิดนี้สักครั้ง ว่าเป็นการพบกันครึ่งทางของรสหวานและรสจืดอย่างน่าสนใจ ส่วนใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของขนมชนิดนี้ น่าจะเคยทดลองมาหลากหลายรสชาติและสารพัดรูปแบบ จนปิดตาชิมก็สามารถรู้ได้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้างและไส้ทำมาจากอะไร 

ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาเพิ่มดีเทลให้แก่สายหวานทุกคนได้ทำความรู้จักกับไดฟูกุให้มากขึ้นอีกนิด ว่ามีความเป็นมาอย่างไร จากอดีตจนถึงปัจจุบันขนมชนิดนี้ได้มีวิวัฒนาการอย่างไรบ้าง รับรองว่าถึงจะเป็นขนมหวานแต่ก็ใช้การเดินทางยาวนานกว่าจะมาถึงจุดนี้

บันทึกการเดินทางของขนมไดฟุกุ จากอดีตถึงปัจจุบัน

ขนมไดฟุกุเพียงแค่ชื่อก็บ่งบอกถึงต้นกำเนิด ว่าต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลจากประเทศญี่ปุ่น ลักษณะดั้งเดิมของขนมชนิดนี้จะใช้แป้งข้าวเหนียวห่อไส้ถั่วแดงไว้ภายใน และชื่อเดิมที่ใช้เป็นชื่อแรกคือ อุซึระโมจิ ที่แปลว่าโมจินกกระทา เริ่มต้นทำครั้งแรกในท้ายสมัยมุโรมาจิ มีรูปร่างกลมรีคล้ายนกกระทา อีกทั้งรสชาติดั้งเดิมยังไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อเป็นของหวาน เพราะน้ำตาลในสมัยนั้น เป็นของหายาก ราคาแพง และฟุ่มเฟือย ดังนั้นรสเดิมของอาหารชนิดนี้จึงประกอบไปด้วยแป้งข้าวเหนียว ที่ภายในเป็นไส้ถั่วแดงและปรุงรสด้วยเกลือ

จุดประสงค์ของการคิดค้นอุซึระโมจิขึ้นมาในยุคนั้นคือ ต้องการอาหารที่สามารถรับประทานได้สะดวกรวดเร็ว และอิ่มท้องได้นาน ซึ่งต่อมาก็มีการเพิ่มรสชาติให้มีความหลากหลายขึ้นทั้งการใช้ถั่วลันเตาเป็นไส้ หรือการโรยหญ้าโยโมกิลงบนผิวแป้งข้าวเหนียว ต่อมาในสมัยเอโดะช่วงท้าย ๆ ได้มีหญิงหม้ายคนหนึ่ง คิดค้นวิธีปรุงอุซึระโมจิ ด้วยการใช้น้ำตาลปรุงรสแทนเกลือ และใช้วิธีอบบนเตาที่มีความร้อน เพื่อนำมาขายในช่วงฤดูหนาว จึงเชื่อกันว่านี่คือต้นฉบับของไดฟูกุที่เราคุ้นเคยดีในปัจจุบัน 

หลังจากนั้นมาอาหารที่สามารถเป็นได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวานชนิดนี้ ได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องจากเป็นอาหารที่รับประทานแล้วอยู่ท้องได้นาน จึงได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อ ขนมไดฟุกุ ที่แปลว่า “โมจิที่ทำให้โชคดี” ซึ่งชาวญี่ปุ่นจะนิยมทำขนมชนิดในงานมงคลต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามอุซึระโมจิ อันเป็นต้นแบบก็ไม่ได้หายไปจากความนิยม เพราะในแถบจังหวัดไซตามะบางพื้นที่ก็ยังนิยมรับประทาน อุซึระโมจิแบบปรุงด้วยเกลือแบบเดิม เพราะให้รสชาติของความเป็นอาหารที่มีความอยู่ท้องมากกว่า อีกทั้งน้ำตาลยังเป็นสินค้าที่สื่อถึงความฟุ่มเฟือย ชาวไซตามะจึงอนุรักษ์รสชาติดั้งเดิมเอาไว้เป็นเสน่ห์ประจำท้องถิ่น 

มาทำขนมไดฟุกุด้วยมือของเราเองกันเถอะ

ขนมไดฟุกุในปัจจุบันนี้สามารถหารับประทานได้ง่าย ทั้งจากการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการเดินไปเลือกซื้อด้วยตนเองตามห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ร้านสะดวกซื้อบางสาขาก็สามารถพบเจอขนมชนิดนี้ได้ไม่ยาก แต่สำหรับใครที่ต้องการทำขนมชนิดนี้รับประทานเอง ขอบอกว่ามีวิธีการที่ไม่ซับซ้อนเลย และยิ่งยุคโควิดแบบนี้ สามารถทำขายเพื่อสร้างรายได้เสริมได้เลย

เริ่มต้นจากการทำไส้ถั่วแดง ด้วยการนำถั่วแดงไปต้มจนสุกจากนั้นจะนำมาปั่นด้วยเครื่องให้ละเอียด หรือหากต้องการสัมผัสเนื้อถั่วเวลาเคี้ยว ก็สามารถใช้ช้อนหรือส้อมบี้ให้ละเอียดได้ จากนั้นให้ตั้งกระทะและใส่เนยลงไปเล็กน้อย สังเกตเมื่อเนยเริ่มละลายให้นำถั่วแดงใส่ลงไป ตามด้วยน้ำตาลทรายตามใจชอบ ขั้นตอนต่อไปออกแรงกันสักนิด ด้วยผัดให้ถั่วแดงแห้งสังเกตว่าหากถั่วแดงเริ่มไม่ติดกระทะแล้วแปลว่าใช้ได้ ให้ปิดไฟและพักถั่วแดงให้เย็น

ขั้นตอนต่อไปให้นำแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวโพดที่นวดกับน้ำตาลทรายเล็กน้อย และเติมน้ำจนได้ก้อนแป้งนวลนิ่มไม่ติดมือและเข้าเตาไมโครเวฟเพื่อทำให้สุกจนเนื้อแป้งใส มาห่อไส้ถั่วแดง จับจีบแป้งให้เรียบร้อยโรยด้วยแป้งนวลสักหน่อยเพื่อความสะดวกในการหยิบ เพียงเท่านี้ก็ได้ขนมที่มาจากฝีมือตัวเองแล้ว

ขนมไดฟูกุ เป็นขนมที่มีประวัติยาวนาน พร้อมกับชื่ออันเป็นสิริมงคล สร้างกระแสนิยมให้กับคนไทยทั่วประเทศ เนื่องจากรสชาติหวานและมีกลิ่นหอมกลมกล่อม จึงสามารถซื้อเป็นของขวัญของฝากให้กับคนที่รักแทนความหวังดีได้ในทุกวาระโอกาส หรือจะซื้อเพื่อรับประทานเอง ก็เข้ากันได้ดีทั้งกับชาเขียว หรือกาแฟแก้วโปรด 

ขนมไดฟุกุ เป็นขนมที่มีประวัติยาวนาน นอกจากนั้นยังมีรสชาติหวานและมีกลิ่นหอมกลมกล่อม จึงเหมาะซื้อเป็นของขวัญหรือของฝาก หรือเพื่อรับประทานเอง